ใบความรู้
หลักการใช้Present Simple Tense มีดังนี้ คือ 1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระท าที่เป็นความจริงหรือข้อเท็จจริงโดยทั่วไป หรือความจริงตามธรรมชาติ · She goes to work by bus. (เธอไปทำงานโดยรถประจ าทาง) · I am an English teacher. (ฉันเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ) · The earth moves around the sun. (โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์) · The sun sets in the west and rises in the east. (พระอาทิตย์ตกทางทิศตะวันตกและขึ้นทางทิศตะวันออก) 2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ท าเป็นประจ าหรือเป็นกิจวัตร รวมถึงนิสัย · He watches television every night. (เขาดูโทรทัศน์ทุกคืน) · Students drink milk every day. (นักเรียนดื่มนมทุกวัน) 3. ใช้ในการแสดงความคิดเห็นหรือความชอบ · We love our school. (เรารักโรงเรียนของเรา) · Jack likes Thai food. (แจ็คชอบอาหารไทย) 4. ใช้กล่าวถึงตารางเวลาต่างๆ · Train arrives at the train station every 1 hour. (รถไฟมาถึงสถานีรถไฟทุกๆ 1 ชั่วโมง) · The bank opens at 8.30 am. and closes at 16.30 pm. (ธนาคารเปิดทำการเวลา 8.30 น. และปิดทำการ เวลา 16.30 น.)
1. ประโยคบอกเล่า โครงสร้างของประโยคบอกเล่า : Subject + Verb.1 + Object + (คำบอกเวลา) ทั้งนี้ค ากริยาช่องที่ 1 นั้นจะ มีการเติม s หรือ es ถ้าหากประธานของประโยคเป็นเอกพจน์ (He, She, It) แต่ถ้าประธานเป็น I, You หรือประธาน พหูพจน์ (You (หลายคน), We, They) ให้คงรูปค ากริยานั้น ๆ ไว้เช่นเดิมเช่น I go to university by bus every morning. (ฉันไปมหาวิทยาลัยโดยรถโดยสารประจำทางทุกเช้า) **ประโยคนี้ประธานคือ I แม้จะเป็นเอกพจน์แต่เป็นข้อยกเว้น ดังกริยา go จึงไม่ต้องเติม s หรือ es เช่นHe plays guitar very well. (เขาเล่นกีตาร์เก่งมาก) **ประโยคนี้ประธานคือ He เป็นเอกพจน์ กริยาคือ play จึงต้องเติม s They enjoy playing the football. (พวกเขาสนุกกับการเล่นฟุตบอล) **ประโยคนี้ประธานคือ They เป็นพหูพจน์ กริยาคือ enjoy จึงไม่ต้องเติม s หรือ es
กฎการเติม –s , -es ที่ค ากริยาในกรณีประธานเป็นเอกพจน์ 1. กริยาปกติ เติม –s ได้เลย เว้นแต่ 2.ลงท้ายด้วย s, sh, ch, x, z , o เติม –es 3.ลงท้ายด้วย y หน้า y เป็น พยัญชนะ เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม –es *** ยกเว้นหน้า y เป็นสระ ให้เติม s
ในประโยค Present Simple Tense มักจะมีคำบอกเวลาซึ่งเป็น Adverbs of Frequency ปรากฏอยู่ใน ประโยคเพื่อบอกความถี่ของเหตุการณ์หรือการกระทำนั้น ๆ ได้แก่
และนอกจากตัวอย่างคำบอกเวลาที่พบบ่อยใน Present Simple Tense แล้ว ยังอาจพบคำว่า every + ... เช่น every month, every morning, every Saturday เพื่อบอกความถี่ของเหตุการณ์หรือการกระทำก็ได้
หลักการใช้ Past Simple Tense ในรูปประโยคปฏิเสธ และ ประโยคคำถาม ประโยคปฏิเสธ (Negative Form) รูปแบบประโยคปฏิเสธใน Present Simple Tense มีสองรูปแบบคล้ายกับรูปแบบประโยคคำถามคือ แบบที่ 1 : Subject + Verb to be + not + Object/ส่วนขยาย + (คำบอกเวลา) ใช้เมื่อใน ประโยคนั้นมี V. to be (Is, Am, Are) ปรากฎอยู่ เช่น I am your servant. ---> I am not your servant. (ฉันไม่ได้เป็นคนรับใช้ของคุณ) เมื่อเห็น V. to be ในประโยคให้เติม not ไว้หลัง V. to be ได้ทันที เพียงเท่านี้ก็จะกลายเป็น ประโยคปฏิเสธ แบบที่ 2 : Subject + Verb to do + not + Verb.1 + Object + (ค าบอกเวลา) แบบที่สองใช้ เมื่อประโยคนั้นไม่มี V. to be จึงต้องน า V. to do ได้แก่ do กับ does เข้ามาช่วยแล้วตามหลังด้วย not เพื่อบอกความปฏิเสธ ส่วนคำกริยาให้คงรูปช่องที่ 1 เหมือนเดิมโดยไม่ต้องเติม s,es เช่น He watches television at home. ---> He does not watch television at home. (เขาไม่ได้ดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้าน) ประโยคนี้ไม่มี V. to be อยู่ในประโยค จึงน า V. to do นั่นก็คือ does มาเป็นกริยาช่วยและตามด้วย not เพื่อบอกรูปปฏิเสธ ส่วนคำกริยาเมื่ออยู่ในรูปปฏิเสธแล้วให้ตัด s,es ทิ้งคงเหลือคำกริยาช่องที่ 1 รูปเดิม
ประโยคคำถาม (Interrogative Form) โครงสร้างของประโยคคำถามใน Present Simple Tense มีสองรูปแบบคือ แบบที่ 1 : Verb to be + Subject + Object/ส่วนขยาย + (ค าบอกเวลา) ? ใช้เมื่อในประโยคนั้นมี V. to be (Is, Am, Are) ปรากฎอยู่ เช่น She is my sister. ---> Is she your sister ? (หล่อนเป็นน้องสาวคุณหรือเปล่า?) เมื่อเห็น V. to be ในประโยคให้น า V. to be ขึ้นต้นประโยคนำหน้าประธานได้เลย เพียงเท่านี้ก็จะกลายเป็น ประโยคคำถาม (และอย่าลืมเปลี่ยนคำสรรพนามด้วยนะคะ จาก my เป็น your) แบบที่ 2 : Verb to do + Subject + Verb.1 + Object + (ค าบอกเวลา) ? ใช้เมื่อประโยคนั้นไม่มี V. to be จึงต้องน า V. to do ได้แก่ do กับ does เข้ามาช่วย โดยขึ้นต้นประโยคน าหน้าประธาน ซึ่งมีวิธีการใช้ที่ แตกต่างกันคือ Do ใช้น าหน้า I, You และประธานที่เป็นพหูพจน์ (You, We, They) ส่วน Does ใช้นำหน้าประธานที่ เป็นเอกพจน์ (He, She, It) และคำกริยาคงรูปช่องที่ 1 เหมือนเดิมโดยไม่ต้องเติม s, es เช่น They play football every evening. ---> Do they play football every evening? (พวกเขาเล่นฟุตบอลทุกเย็นหรือเปล่า?) ประโยคนี้ไม่มี V. to be อยู่ในประโยค จึงน า V. to do มาใช้ขึ้นต้นประโยคน าหน้า they ซึ่งเป็น ประธานพหูพจน์ That cat eats fish. ---> Does that cat eat fish ? (แมวตัวนั้นกินปลาหรือเปล่า?) ประโยคนี้ไม่มี V. to be อยู่ในประโยค จึงนำ V. to do นั่นก็คือ does มาใช้ขึ้นต้นประโยคน าหน้า that cat หรือก็คือ it ซึ่งเป็นประธานเอกพจน์ โดยคำกริยาคือ eat มีการตัด s ออกในประโยคคำถาม หลักการใช้ Question Words Question words คือ คำแสดงคำถาม เป็นคำประเภทสรรพนามคำถาม ใช้วางไว้หน้าประโยคเพื่อทำให้เป็นประโยค คำถาม (What , Where , When , Who , How , Why , etc.) โครงสร้าง Question words + กริยาช่วย + subject + Verb?
แบบฝึกหัด A. Write the third person singular of the following verbs. play ____________ go ____________ wash ____________ teach ____________ drive ____________ carry ____________ fly ____________ start ____________ help ____________ kiss ____________ watch ____________ tidy ____________ like ____________ enjoy ____________ cry ____________ mix ____________ teach ____________ play ____________ |
แสดงความคิดเห็น
![]() |
นุชนันท์ คำเนตร -... ม.2 เปิดดู 31 ครั้ง |
![]() |
ลลิตา ชัยภิบาล -... ม.2 เปิดดู 30 ครั้ง |
![]() |
ปิยธิดา จิตตรานุเคราะห์ -... ม.2 เปิดดู 45 ครั้ง |
![]() |
จิราภรณ์ งามบาง -... ม.2 เปิดดู 35 ครั้ง |
![]() |
ชาลิสา สรรพโส -... ม.2 เปิดดู 47 ครั้ง |
OBEC PLAY Education Platform | Powered By Spirit Team